ศึกท้าประลอง LLM 3 โมเดล ใครแปลเก่งกว่ากัน
- ทัศนีย์ กีรติรัตน์วัฒนา
- 16 มิ.ย.
- ยาว 10 นาที

ปัจจุบันมี LLM ให้เลือกใช้เยอะจนหลายคนสงสัยว่าจะใช้ตัวไหนดี เพราะดูเผินๆ ก็เหมือนทุกโมเดลจะ "ดีเหมือนกันหมด" บทความนี้จึงเขียนขึ้นเพื่อทดสอบสนามจริง เปรียบเทียบประสิทธิภาพการแปลของ LLM 3 โมเดลตัวท็อปในตลาดตอนนี้ คือ ChatGPT, Claude และ Gemini โดยจะใช้ต้นฉบับเดียวกัน 3 ประเภท และใช้ prompt เดียวกัน สุดท้ายเราจะสรุปให้เห็นกันว่าตัวไหนมีจุดเด่นด้านอะไร เหมาะกับต้นฉบับประเภทไหนบ้างค่ะ ไปอ่านกัน!
ผู้เข้าแข่งขันในสนามแปล🧠
การประชันแปลครั้งนี้ ทดสอบโมเดลทั้งหมด 3 รุ่นจาก 3 ค่าย คือ ChatGPT, Claude และ Gemini
ChatGPT 4o เข้าถึงได้ทาง https://chatgpt.com/
Claude 3.7 Sonnet เข้าถึงได้ทาง https://claude.ai/ บทความแรก (Mindful Self-care) และ Claude 4.0 Sonnet บทความที่ 2-3 (อัปเดตพอดี)
Gemini 2.5 Flash เข้าถึงได้ทาง https://gemini.google.com/
โจทย์ที่ใช้ทดสอบ📝
ใช้ข้อความ 3 ประเภท คือ
บทความทั่วไป เกี่ยวกับ "แนวทางการดูแลตนเอง" (Mindful Self-care) พูดถึงความหมายของ "self-care" เหตุผลที่คนเราควรใส่ใจสุขภาพกายและสุขภาพจิต เขียนโดย Calm แอปพลิเคชั่นดูแลสุขภาพจิต ความยาว 238 คำ
บทความเทคนิค ตัดมาจากบทวิเคราะห์ "ผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษี (Reciprocal tariff)" ของประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ เขียนโดย สมาคมการค้านานาชาติวิชิงตันดีซี (WITA) ความยาว 238 คำ
บทความสายสร้างสรรค์ ดึงมาจากนิยายเรื่อง Monster calls เขียนโดย Patrick Ness เรื่องราวของเด็กชายอังกฤษวัย 13 ปี ที่ต้องต่อสู้กับความกลัว เหงา และเจ็บปวดทางจิตใจจากการกำลังจะสูญเสียแม่ ความยาว 278 คำ



วิธีทดสอบ🔍
การทดลองครั้งนี้เป็นการทดสอบความสามารถในการแปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยอย่างเดียว ทุกโมเดลจะได้รับ prompt เดียวกัน โดยกำหนด prompt สำหรับโจทย์แต่ละข้อดังนี้
บทความทั่วไป (Mindful Self-care)
แปลบทความภาษาอังกฤษต่อไปนี้เป็นภาษาไทยในสไตล์อบอุ่น อ่านง่าย เหมือนบทความจากนักเขียนไทยที่กำลังพูดคุยกับผู้อ่านเกี่ยวกับการดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน ขอให้เลือกใช้ภาษาที่ลื่นไหล อ่านแล้วรู้สึกผ่อนคลาย เป็นมิตร และเข้าถึงง่าย เน้นให้เนื้อหาน่าอ่านสำหรับคนไทยที่สนใจเรื่อง self-care และการใช้ชีวิตอย่างมีสติ
บทความเทคนิค (Trump Tariff)
แปลบทความภาษาอังกฤษต่อไปนี้เป็นภาษาไทย โดยรักษาเนื้อหาด้านเศรษฐกิจและข้อมูลเชิงวิเคราะห์ให้ครบถ้วน ชัดเจน และแม่นยำ ภาษาที่ใช้ให้อยู่ในระดับกึ่งวิชาการ แต่อ่านลื่นไหลเป็นธรรมชาติคล้ายคอลัมน์ข่าวเศรษฐกิจในไทยรัฐ/ประชาชาติ กลุ่มผู้อ่านคือคนไทยทั่วไปที่สนใจประเด็นเศรษฐกิจมหภาค นโยบายการคลัง และผลกระทบจากมาตรการภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับความชัดเจนของแนวคิดและผลกระทบที่นำเสนอในบทความ ผู้เขียนบทความนี้ คือ WITA (Washington International Trade Association)
บทความสร้างสรรค์ (Monster Calls)
แปลข้อความต่อไปนี้จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย โดยรักษาน้ำเสียงของผู้เล่าเรื่องซึ่งเป็นเด็กชายชาวอังกฤษวัย 13 ปี ให้มีบุคลิกเฉพาะตัวตามต้นฉบับ สำนวนควรแปลให้อ่านลื่นไหลเหมือนนิยายภาษาไทย และสะท้อนอารมณ์ ความคิด และมุมมองของตัวละครเด็กในโลกแฟนตาซีที่มีบรรยากาศมืดหม่น ลึกลับ หรือสะเทือนใจได้อย่างเป็นธรรมชาติ
Prompt ทุกข้อ ให้ LLM ช่วยเสนอไอเดียให้ก่อนทั้งหมด 😆 แล้วมาเกลาภายหลังนะคะ
เกณฑ์การให้คะแนน📌
กำหนดเกณฑ์การให้คะแนนโดยอิงจาก MQM (Multidimensional Quality Metrics)
เกณฑ์การให้คะแนน | คำอธิบาย |
ความถูกต้อง (Accuracy) | แปลถูกต้อง ตรงตามต้นฉบับ ไม่แปลผิด (Mistranslation) เติม (Addition) ละ (Omission) |
ความลื่นไหล (Fluency) | อ่านง่าย ลื่นไหลเป็นธรรมชาติคล้ายเจ้าของภาษาเขียนเอง พิจารณาจากไวยากรณ์ (grammar) การสะกดคำ (spelling) การร้อยเรียงประโยค (sentence structure) และขนบในการเขียน |
ศัพท์ (Terminology) | แปลศัพท์เทคนิคได้ถูกต้อง (Correct technical term) และใช้ศัพท์เดิมตลอด (consistent term) |
เบื้องต้น ทุกโมเดลจะได้คะแนนเต็ม 100 แต่เมื่อเจอข้อผิดพลาด จะหักคะแนนตามเกณฑ์/เกณฑ์ย่อยด้านบนโดยแบ่งตามระดับความรุนแรง
ระดับความรุนแรง | ค่าน้ำหนัก |
Minor | 1 |
Major | 5 |
Critical | 10 |
คะแนนรวมจะคำนวณโดยใช้สูตรดังนี้
MQM Score = (Total Error Points / Evaluation Word Count) × 1000
คะแนนประเมิน = (ผลรวมข้อผิดพลาด / จำนวนคำ) x 1000
หลังจากนั้น จึงนำคะแนน MQM มาแปลงเป็นคะแนน 1-100 โดยตั้งค่า Threshold ไว้ที่ 300
ผลการทดสอบ & บทวิเคราะห์🌟

ต้นฉบับ | ChatGPT 4o | Claude 3.7 Sonnet | Gemini 2.5 Flash |
---|---|---|---|
Mindful Self-care There’s nothing more essential than taking time to care for your own wellbeing. Despite outdated beliefs, self-care isn’t selfish. It’s a necessary act that allows you to show up for yourself, others, and your life, more effectively. | การดูแลตัวเองอย่างมีสติ ในโลกที่หมุนเร็วแทบไม่หยุดแบบทุกวันนี้ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการหยุดพักและหันกลับมาดูแลตัวเองจริง ๆ จัง ๆ บ้าง หลายคนอาจยังรู้สึกผิดเวลาจะทำอะไรเพื่อตัวเอง แต่ความจริงแล้ว "การดูแลตัวเอง" ไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัวเลย ตรงกันข้าม—มันคือสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้เรามีแรง มีพลังใจ ไปใช้ชีวิตและอยู่กับคนรอบข้างได้อย่างเต็มที่ | การดูแลตัวเองอย่างมีสติ สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ ทุกคน ♡ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการแบ่งเวลามาดูแลสุขภาพกายใจของตัวเองอีกแล้วนะคะ แม้ว่าความเชื่อเก่าๆ จะบอกว่าการดูแลตัวเองเป็นเรื่องเห็นแก่ตัว แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้เราพร้อมดูแลทั้งตัวเอง คนรอบข้าง และชีวิตของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ | ดูแลตัวเองแบบมีสติ: เรื่องใกล้ตัวที่สำคัญกว่าที่คิด สวัสดีค่ะทุกคน! วันนี้เราอยากชวนมาคุยเรื่องใกล้ตัวที่หลายคนอาจมองข้ามไป นั่นก็คือ การดูแลตัวเอง หรือ Self-care ค่ะ หลายคนอาจคิดว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องเห็นแก่ตัว หรือเป็นเรื่องฟุ่มเฟือย แต่จริง ๆ แล้ว การดูแลตัวเองเนี่ยสำคัญกับชีวิตเรามาก ๆ เลยนะคะ
|
The saying, “running on empty” rings true when it comes to self-care. We can’t show up for others if our own tanks are empty. So, how do we get better at it? Through self-care practices, you can create a foundation of positive self-love and wellbeing habits that empower you and set you up to live your life to the fullest. | เคยได้ยินคำว่า “หมดถัง” ไหมคะ? มันคือคำที่ใช่อธิบายสภาพของคนที่ทุ่มเทให้กับทุกอย่างจนลืมเติมพลังให้ตัวเอง แล้วแบบนี้จะเหลืออะไรไปให้ใครอีกล่ะ? ถ้าอยากดูแลคนอื่นให้ดี เราก็ต้องเริ่มจากการดูแลตัวเองให้ได้นี่แหละ แล้วจะเริ่มต้นดูแลตัวเองยังไงดี? จริง ๆ แล้ว การดูแลตัวเองไม่ใช่แค่การพักผ่อน แต่คือการสร้างพื้นฐานของนิสัยดี ๆ ที่เติมความรักให้กับตัวเอง สร้างความมั่นคงทางใจ และทำให้เรามีพลังใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ | คำพูดที่ว่า "วิ่งด้วยถังน้ำมันที่ว่างเปล่า" นั้นเป็นความจริงเมื่อพูดถึงการดูแลตัวเองนะคะ เราไม่สามารถดูแลคนอื่นได้ถ้าพลังงานในตัวเราหมด แล้วเราจะพัฒนาเรื่องนี้ให้ดีขึ้นได้อย่างไรล่ะคะ? ผ่านการปฏิบัติดูแลตัวเอง เราสามารถสร้างรากฐานของความรักตัวเองในเชิงบวกและนิสัยการดูแลสุขภาพที่ช่วยเสริมพลังให้เราและช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ค่ะ | เวลาเราพูดถึงเรื่อง "น้ำมันหมดถัง" มันตรงกับเรื่องการดูแลตัวเองมาก ๆ ค่ะ เพราะเราคงไม่สามารถดูแลคนรอบข้าง หรือใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ ถ้าตัวเราเองเหนื่อยล้าจนหมดพลังใช่ไหมคะ การดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอจะช่วยสร้างรากฐานของ ความรักในตัวเอง และนิสัยดี ๆ ที่จะเสริมพลังให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและเต็มศักยภาพค่ะ |
What exactly is self-care? Self-care is the action and practice of prioritizing your personal wellbeing, which can have the knock-on effect of reducing stress, and enhancing happiness and satisfaction. Self-care is about paying attention to your feelings and making choices—and sometimes sacrifices—for the sake of your mental and physical health. | แล้ว Self-care คืออะไรกันแน่? Self-care คือการตั้งใจเลือกใส่ใจความเป็นอยู่ของตัวเอง ทั้งสุขภาพกาย ใจ และอารมณ์ มันอาจหมายถึงการลดความเครียด เพิ่มความสุข หรือแค่ทำให้รู้สึกพึงพอใจมากขึ้นกับชีวิตที่เรามีอยู่ในแต่ละวัน หลัก ๆ แล้ว มันคือการฟังเสียงความรู้สึกของตัวเอง และกล้าตัดสินใจ—บางครั้งอาจต้องแลกกับบางอย่าง—เพื่อสุขภาพกายใจที่ดีของเราเอง | การดูแลตัวเองคืออะไรกันแน่?
การดูแลตัวเองคือการกระทำและการฝึกฝนที่เน้นสุขภาวะของตัวเราเป็นสำคัญ ซึ่งอาจส่งผลดีต่อเนื่องไปถึงการลดความเครียด เพิ่มความสุข และความพึงพอใจในชีวิตค่ะ การดูแลตัวเองเกี่ยวข้องกับการใส่ใจความรู้สึกของเราและการตัดสินใจเลือก—บางครั้งอาจต้องเสียสละบางอย่าง—เพื่อสุขภาพกายและใจของเรา | Self-care คืออะไรกันแน่?
พูดง่าย ๆ ก็คือ Self-care คือการที่เราให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของตัวเอง ทั้งกายและใจ ซึ่งส่งผลให้เรา ลดความเครียด เพิ่มความสุข และความพึงพอใจในชีวิตได้ค่ะ การดูแลตัวเองคือการที่เราหันมาใส่ใจความรู้สึกของตัวเอง และตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับสุขภาพกายและใจของเรา บางครั้งอาจจะต้องมีการเสียสละบ้างเล็กน้อยเพื่อสิ่งนี้ค่ะ |
People might assume self-care means indulgent spa days and pampering yourself, but it's a practice that goes much deeper than face masks and mud baths (though those are lovely forms of self-care). Some self-care practices, like setting boundaries at work or attending necessary medical appointments, might not always feel enjoyable, but they’re essential for maintaining physical, emotional, and mental wellbeing. | หลายคนอาจนึกถึงการแช่น้ำอุ่น ทำสปา หรือมาสก์หน้าเป็นภาพแรกเมื่อนึกถึง Self-care ซึ่งก็ใช่ค่ะ มันก็เป็นรูปแบบที่ดีเหมือนกัน แต่ความหมายของ Self-care ลึกกว่านั้นเยอะ การกล้าบอกว่า "ไม่" กับงานที่เกินกำลัง หรือแค่การไปหาหมอตามนัด—แม้จะไม่ใช่เรื่องสนุก—ก็ถือเป็นการดูแลตัวเองในแบบที่จำเป็นเหมือนกัน | หลายคนอาจเข้าใจว่าการดูแลตัวเองหมายถึงการไปสปาหรือการตามใจตัวเอง แต่จริงๆ แล้วมันเป็นการปฏิบัติที่ลึกซึ้งกว่าการพอกหน้าหรืออาบโคลน (แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นรูปแบบของการดูแลตัวเองที่น่ารักก็ตามค่ะ) การดูแลตัวเองบางอย่าง เช่น การตั้งขอบเขตในที่ทำงานหรือการไปพบแพทย์ตามนัดที่จำเป็น อาจไม่รู้สึกสนุกเสมอไป แต่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาสุขภาพกาย อารมณ์ และจิตใจค่ะ | หลายคนอาจเข้าใจว่า Self-care คือการไปสปา ทำหน้า หรือปรนเปรอตัวเองแบบจัดเต็ม ซึ่งมันก็เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลตัวเองที่น่ารักดีนะคะ แต่จริง ๆ แล้ว การดูแลตัวเองมันลึกซึ้งกว่านั้นมากค่ะ บางครั้งการดูแลตัวเองอาจจะไม่ใช่เรื่องสนุกสนานเสมอไป อย่างเช่น การกล้าที่จะปฏิเสธงาน ที่มากเกินไป หรือ การไปหาหมอตามนัด เพื่อตรวจสุขภาพ สิ่งเหล่านี้อาจจะไม่ใช่การพักผ่อนหย่อนใจ แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการรักษาสมดุลทางกาย อารมณ์ และจิตใจของเราให้ดีอยู่เสมอค่ะ |
Remember, it’s okay for self-care practices to look different from person to person. It’s all about finding what works for you to feel rejuvenated physically and emotionally. | สิ่งสำคัญคือ ไม่มีสูตรตายตัวค่ะว่า Self-care ต้องหน้าตาแบบไหน บางคนอาจรู้สึกเติมพลังจากการอ่านหนังสือเงียบ ๆ อีกคนอาจต้องออกไปเดินเล่นรับแดดเช้า หรือแค่ได้นั่งจิบกาแฟเงียบ ๆ ก็พอแล้วขอแค่คุณได้พัก ได้ฟังตัวเอง และรู้สึกดีขึ้นทั้งกายและใจ นั่นแหละ คือ Self-care ที่เหมาะกับคุณแล้วค่ะ | อย่าลืมนะคะว่า การดูแลตัวเองของแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป สำคัญที่สุดคือการค้นหาวิธีที่เหมาะกับเรา ที่ช่วยให้รู้สึกสดชื่นทั้งร่างกายและจิตใจค่ะ ♡ | จำไว้เสมอนะคะว่า การดูแลตัวเองของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ค่ะ มันคือการที่เราค่อย ๆ ค้นหาสิ่งที่ใช่สำหรับตัวเราเอง ที่จะช่วยให้เราฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจให้กลับมาสดใสได้อีกครั้ง แล้ววันนี้คุณดูแลตัวเองแล้วหรือยังคะ? ลองเริ่มต้นจากเรื่องเล็ก ๆ ที่ทำได้ง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันดูนะคะ |
ดู prompt + Reply | |||
จำนวนคำ | 417 | 352 | 417 |
เปรียบเทียบการแปลบทความทั่วไป: Mindful Self-care

🥇 อันดับ 1: Gemini 2.5 Flash "แชมป์ด้านความลื่นไหลและเป็นธรรมชาติ"
✅ จุดแข็ง
เขียนลื่นไหล อ่านเป็นธรรมชาติเหมือนคนไทยเขียนเอง ไม่ติดกลิ่นแปล
งานแปลของ Gemini เหมือนมองบริบทของต้นฉบับทั้งชิ้น ทำให้งานแปลเป็นธรรมชาติ กลมกลืน สังเกตว่าโมเดลเปลี่ยนการวางรูปประโยคใหม่หลายช่วง ทำให้อ่านเป็นธรรมชาติได้ดี เช่น
Some self-care practices, like setting boundaries at work or attending necessary medical appointments, might not always feel enjoyable,...
บางครั้งการดูแลตัวเองอาจจะไม่ใช่เรื่องสนุกสนานเสมอไป อย่างเช่น การกล้าที่จะปฏิเสธงาน ที่มากเกินไปหรือ การไปหาหมอตามนัด เพื่อตรวจสุขภาพ...
❌ จุดอ่อน
ขยายความและแต่งเติมต้นฉบับค่อนข้างเยอะ เช่น
Mindful self-care > ดูแลตัวเองแบบมีสติ: เรื่องใกล้ตัวที่สำคัญกว่าที่คิด
เติมประโยคเปิด (ต้นฉบับไม่มี)
สวัสดีค่ะทุกคน! วันนี้เราอยากชวนมาคุยเรื่องใกล้ตัวที่หลายคนอาจมองข้ามไป นั่นก็คือ การดูแลตัวเอง หรือ Self-care ค่ะ
เติมประโยคปิด (ต้นฉบับไม่มี)
แล้ววันนี้คุณดูแลตัวเองแล้วหรือยังคะ? ลองเริ่มต้นจากเรื่องเล็ก ๆ ที่ทำได้ง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันดูนะคะ
ใช้ภาษาวัยรุ่นกว่าอีก 2 โมเดล เช่น "เนี่ย" "พูดง่ายๆ ก็คือ" "จัดเต็ม"
🥈 อันดับ 2: ChatGPT 4o "สมดุล แต่ยังพลาดบ่อย"
✅ จุดแข็ง
ภาษาสละสลวย อบอุ่น เป็นธรรมชาติ ใกล้เคียง Gemini
เติมคำเพื่อเพิ่มความชัดเจนหลายจุด เช่น
"empower yourself" > "เติมความรักให้ตัวเอง สร้างความมั่นคงทางใจ"
"Well-being" > "ความเป็นอยู่ของตัวเอง ทั้งสุขภาพกาย ใจ และอารมณ์"
บางจุดแปลดีมาก เช่น
"show up for yourself" > "ไปใช้ชีวิต"
แปลงรูปประโยคให้กระชับแต่ใจความเดิม
"self-care practices look different from person to person"
"ไม่มีสูตรตายตัวค่ะว่า self-care ต้องหน้าตาแบบไหน"
❌ จุดอ่อน
การเติมความ/ขยายความจนเกินต้นฉบับ เช่น ประโยคเปิด (ต้นฉบับไม่มี)
"ในโลกที่หมุนเร็วไม่หยุดทุกวันนี้"
ย่อหน้าสุดท้าย ขยายความตัวอย่าง self-care เอาเอง (ต้นฉบับไม่มี)
"บางคนอาจรู้สึกเติมพลังจากการอ่านหนังสือเงียบๆ อีกคนอาจต้องออกไปเดินเล่นรับแดดเช้า หรือแค่ได้นั่งจิบกาแฟเงียบๆ ก็พอแล้ว"
มีปัญหาด้านสำนวนภาษาและการใช้สัญลักษณ์ "-" ซึ่งไม่มีในภาษาไทย
ติดคำว่า "มัน"
"มันคือสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้เรามีแรง"
"มันอาจหมายถึง"
🥉อันดับ 3 Claude 3.7 Sonnet "แปลซื่อ แต่ไม่สวย"
✅ จุดแข็ง
ยึดกับต้นฉบับได้ค่อนข้างดี ไม่เสริม เติมเยอะ ตรงตามต้นฉบับ มั่นใจได้ว่าเป็นงานแปล มีเติมแค่ช่วงต้นคือ "สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ ทุกคน ♡" (จริตแบบบล็อกเกอร์สาวที่ฝรั่งไม่เข้าใจ 555)
❌ จุดอ่อน
แปลค่อนข้าง "ฝืด" ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติและยึดติดกับต้นฉบับค่อนข้างมาก เช่น
"มันเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วย..."
"นั้นเป็นความจริงเมื่อพูดถึงการดูแลตัวเองนะคะ" หรือ
การขึ้นต้นประโยคโดยคงโครงสร้างภาษาอังกฤษโต้งๆ ว่า "ผ่านการปฏิบัติดูแลตัวเอง..."
ใช้เครื่องหมาย "-" ซึ่งภาษาไทยไม่มี
❗Common Errors/Patterns ที่พบทั้ง 3 โมเดล
ทั้ง 3 โมเดลแปลศัพท์ "“running on empty” ยังไม่ชัดเจน ("หมดถัง”, "วิ่งด้วยถังน้ำมันที่ว่างเปล่า", "น้ำมันหมดถัง") เพราะนำมาร้อยเรียงในประโยคแปลกๆ บ่งชี้ว่า LLM ยังไม่สามารถแปลคำศัพท์ได้แม่นยำ
Addition / Omission (เติมความหรือตัดบางข้อความทิ้ง) พบทุกโมเดล เป็นแพทเทิร์นที่น่าจับตามองเพราะส่งผลต่อความแม่นยำของคำแปล
ทั้ง 3 โมเดลยังมีประเด็นด้านภาษาแปลกๆ อยู่ โดยเฉพาะช่วงท้ายๆ ของบทความ ประสิทธิภาพจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด เช่น อาจเติมบางประโยคเพิ่ม หรือแปลแปลกๆ
ข่าวดี! ยังไม่มี critical error ในโมเดลไหนเลย

ต้นฉบับ | ChatGPT 4o | Claude 4.0 Sonnet | Gemini 2.5 Flash |
---|---|---|---|
2025 Trump Tariffs: Economic Effects | ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากมาตรการภาษีทรัมป์ ปี 2025 เรียบเรียงโดย WITA (Washington International Trade Association) | ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากนโยบายภาษีศุลกากรยุคทรัมป์ 2025 | มาตรการภาษีของทรัมป์ปี 2025: ผลกระทบทางเศรษฐกิจ |
We estimate that before accounting for any foreign retaliation, the tariffs on Canada, Mexico, China, and motor vehicles would each reduce US economic output by 0.1 percent; the tariffs on the European Union would reduce US economic output by 0.2 percent; and the expansion of the steel and aluminum tariffs would reduce US economic output by less than 0.05 percent. | การประเมินเบื้องต้นจาก WITA ระบุว่า หากไม่นับรวมมาตรการตอบโต้จากต่างประเทศ มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่จะบังคับใช้กับแคนาดา เม็กซิโก จีน และยานยนต์ น่าจะส่งผลให้ผลผลิตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ (US economic output) ลดลงราว 0.1% ต่อกลุ่มประเทศ ขณะที่ภาษีกับสหภาพยุโรป (EU) อาจฉุดให้ผลผลิตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลดลง 0.2% และการขยายอัตราภาษีเหล็กและอลูมิเนียมคาดว่าจะมีผลกระทบเล็กน้อยที่สุด โดยลดผลิตภาพเศรษฐกิจไม่เกิน 0.05% | จากการวิเคราะห์ของสมาคมการค้าระหว่างประเทศวอชิงตัน (WITA) พบว่า นโยบายภาษีศุลกากรใหม่ของรัฐบาลทรัมป์จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างเป็นรูปธรรม การประเมินผลกระทบต่อผลผลิตเศรษฐกิจ ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า หากไม่นับรวมมาตรการตอบโต้จากประเทศคู่ค้า การเก็บภาษีศุลกากรจากแคนาดา เม็กซิโก จีน และยานยนต์ จะลดผลผลิตเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ประเทศละ 0.1 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่การเก็บภาษีจากสหภาพยุโรปจะส่งผลให้ผลผลิตเศรษฐกิจหดตัว 0.2 เปอร์เซ็นต์ และการขยายขอบเขตภาษีเหล็กและอลูมิเนียมจะลดผลผลิตเศรษฐกิจน้อยกว่า 0.05 เปอร์เซ็นต์ | จากการประมาณการของเรา พบว่าหากยังไม่มีการตอบโต้จากต่างประเทศ มาตรการภาษีที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บจากแคนาดา เม็กซิโก จีน และยานยนต์ จะส่งผลให้ผลผลิตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ (US economic output) ลดลง 0.1% สำหรับแต่ละกรณี ขณะที่มาตรการภาษีต่อสหภาพยุโรปจะทำให้ผลผลิตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ลดลง 0.2% และการขยายมาตรการภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมจะส่งผลให้ผลผลิตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ลดลงไม่ถึง 0.05% |
China has announced it will impose retaliatory tariffs on about $13.9 billion worth of US exports effective February 10. Certain US exports of coal and liquefied natural gas (totaling $3.2 billion in 2024) will face a 15 percent tariff, while exports of oil, agricultural machinery, and large motor vehicles (totaling $10.7 billion in 2024) will face a 10 percent tariff. Because the retaliatory tariffs are currently limited, we do not model their macroeconomic or revenue effects. | ในด้านการตอบโต้ จีนได้ประกาศจะจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่ารวมประมาณ 13.9 พันล้านดอลลาร์ เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ โดยสินค้าสหรัฐฯ บางรายการ ได้แก่ ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่มีมูลค่ารวม 3.2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 จะถูกเก็บภาษีที่อัตรา 15% ขณะที่ น้ำมัน เครื่องจักรกลการเกษตร และรถยนต์ขนาดใหญ่ (รวมมูลค่า 10.7 พันล้านดอลลาร์) จะถูกเก็บภาษีในอัตรา 10% อย่างไรก็ตาม มาตรการตอบโต้จากจีนในรอบนี้ยังมีขอบเขตจำกัด ทาง WITA จึงยังไม่รวมผลกระทบทางเศรษฐมหภาค (macroeconomic effects) หรือผลต่อรายได้รัฐ (revenue effects) ไว้ในการวิเคราะห์รอบนี้ | จีนเตรียมมาตรการตอบโต้ จีนได้ประกาศจะใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้กับสินค้าส่งออกของสหรัฐฯ มูลค่าประมาณ 13.9 พันล้านดอลลาร์ มีผลตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ โดยสินค้าส่งออกบางรายการของสหรัฐฯ ได้แก่ ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (มูลค่า 3.2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024) จะต้องเสียภาษี 15 เปอร์เซ็นต์ ส่วนน้ำมัน เครื่องจักรกลการเกษตร และยานยนต์ขนาดใหญ่ (มูลค่า 10.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024) จะต้องเสียภาษี 10 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมาตรการตอบโต้ของจีนยังจำกัดอยู่ในขอบเขตแคบ ทางสมาคมฯ จึงยังไม่ได้นำผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาคหรือรายได้ภาครัฐมาพิจารณาในแบบจำลอง | ในส่วนของการตอบโต้ จีนได้ประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีตอบโต้ต่อสินค้าส่งออกของสหรัฐฯ มูลค่าประมาณ 13.9 พันล้านดอลลาร์ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์นี้ สินค้าส่งออกบางรายการของสหรัฐฯ เช่น ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (รวมมูลค่า 3.2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024) จะเผชิญกับภาษี 15% ขณะที่การส่งออกน้ำมัน เครื่องจักรกลการเกษตร และยานยนต์ขนาดใหญ่ (รวมมูลค่า 10.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024) จะเผชิญกับภาษี 10% อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมาตรการภาษีตอบโต้ดังกล่าวยังมีข้อจำกัด เราจึงไม่ได้นำมาแบบจำลองผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาคหรือผลกระทบต่อรายได้จากมาตรการเหล่านี้ |
If imposed on a permanent basis, the tariffs would increase tax revenue for the federal government. We have modeled each tariff in isolation; however, if tariffs are imposed together, and tariff rates stack on top of existing tariffs, the revenue raised would be lower as imports would fall by a greater amount. Revenue is lower on a dynamic basis, a reflection of the negative effect tariffs have on US economic output, which reduces incomes and resulting tax revenues. Revenue would fall more if foreign countries retaliated, as retaliation would cause US output and incomes to shrink further. | หากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ถูกใช้แบบถาวร รายได้ภาษีของรัฐบาลกลางจะเพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง ซึ่งในการวิเคราะห์นี้ WITA ได้จำลองแต่ละมาตรการภาษีแยกจากกัน แต่หากมีการบังคับใช้พร้อมกัน และอัตราภาษีใหม่ทับซ้อนกับอัตราที่มีอยู่เดิม จะทำให้ปริมาณการนำเข้าลดลงมาก ส่งผลให้รายได้ภาษีโดยรวมลดลงเมื่อเทียบกับการวิเคราะห์แบบคงที่ การลดลงของรายได้ภาษีในภาพรวมยังเป็นผลจากผลกระทบทางเศรษฐกิจในเชิงลบของภาษีเหล่านี้ต่อผลิตภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อระดับรายได้ของประชาชน และในที่สุดจะทำให้รายได้ภาษีลดลงตามไปด้วย หากประเทศคู่ค้าดำเนินมาตรการตอบโต้เพิ่มเติม ผลกระทบทางลบต่อรายได้และผลผลิตของสหรัฐฯ จะยิ่งรุนแรงขึ้น ส่งผลให้รายได้ภาษีลดลงยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย | ผลกระทบต่อรายได้ภาครัฐ หากมีการใช้มาตรการภาษีศุลกากรอย่างถาวร จะช่วยเพิ่มรายได้ภาษีให้กับรัฐบาลกลาง การศึกษานี้ได้วิเคราะห์ภาษีศุลกากรแต่ละรายการแยกต่างหาก แต่หากมีการใช้มาตรการทั้งหมดพร้อมกัน และอัตราภาษีซ้อนทับกับภาษีเดิมที่มีอยู่แล้ว รายได้ที่เก็บได้จะลดลง เพราะปริมาณการนำเข้าจะหดตัวมากขึ้น เมื่อพิจารณาในมิติเชิงพลวัต รายได้จะลดลงเนื่องจากภาษีศุลกากรจะส่งผลเชิงลบต่อผลผลิตเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ทำให้รายได้ของประชาชนและรายได้ภาษีอื่นๆ ลดลงตามไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น หากประเทศคู่ค้าใช้มาตรการตอบโต้ รายได้จะลดลงมากยิ่งขึ้น เพราะการตอบโต้จะทำให้ผลผลิตและรายได้ของสหรัฐฯ หดตัวลงเพิ่มเติม การวิเคราะห์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ ที่แม้จะมีเป้าหมายเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ แต่ในระยะยาวอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศได้ | หากมาตรการภาษีเหล่านี้ถูกบังคับใช้เป็นการถาวร จะส่งผลให้รัฐบาลกลางมีรายได้จากภาษีเพิ่มขึ้น เราได้ทำการจำลองผลกระทบของมาตรการภาษีแต่ละชนิดแยกกัน แต่หากมีการบังคับใช้มาตรการภาษีหลายชนิดพร้อมกัน และอัตราภาษีมีการซ้อนทับกับภาษีที่มีอยู่เดิม รายได้ที่จัดเก็บได้จะลดลง เนื่องจากปริมาณการนำเข้าจะลดลงในสัดส่วนที่มากกว่า รายได้จะลดลงในระยะยาว (dynamic basis) ซึ่งสะท้อนถึงผลกระทบเชิงลบของมาตรการภาษีที่มีต่อผลผลิตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งจะลดทอนรายได้และรายรับจากภาษีที่ตามมา และหากต่างประเทศมีการตอบโต้ รายได้ก็จะลดลงไปอีก เนื่องจากมาตรการตอบโต้จะทำให้ผลผลิตและรายได้ของสหรัฐฯ หดตัวลงไปอีก |
ดู prompt + Reply | |||
จำนวนคำ | 378 | 396 | 344 |
เปรียบเทียบการแปลบทความเทคนิค : 2025 Trump Tariffs: Economic Effects

🥇อันดับ 1: Gemini 2.5 ดีที่สุดทั้งเรื่องความแม่นยำ (Accuracy) และศัพท์ (Terminology)
✅ จุดแข็ง
เขียนได้ใจความ เข้าใจได้ครบถ้วน แปลได้ตรงบริบท
ใช้ศัพท์หลายคำที่ตรงกับทำเนียบภาษากึ่งทางการ เช่น "สะท้อนถึงผลกระทบ" "ลดทอนรายได้ "หดตัว" หรีืิอ ""รายได้ลดลงในระยะยาว" (Revenue is lower on a dynamic basis)
❌ จุดอ่อน
ตัวเลขยังแหม่งๆ แบบภาษาแปล เช่น "13.9 พันล้าน"
มีประเด็น unclear reference คล้ายกับ Claude แต่ไม่รุนแรงเท่า เช่น "สำหรับแต่ละกรณี" ("for each country")
ประโยคที่ซับซ้อน เริ่มผิดหลักภาษาไทย (ไม่มีกิริยา) เช่น
..., we do not model their macroeconomic or revenue effects.
...เราจึงไม่ได้นำแบบจำลองผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาพหรือผลกระทบต่อรายได้จากมาตรการเหล่านี้
🥈อันดับ 2: ChatGPT 4o "ปรับตัวได้ดี แต่มี major error ไว้วางใจไม่ได้"
✅ จุดแข็ง
สไตล์ภาษาฉูดฉาด บางจุดคล้ายสไตล์เขียนข่าว ("ฉุดให้ผลผลิตลดลง")
ใช้คำว่า "อัตราภาษี" ("เก็บภาษีที่อัตรา 15%") ชัดเจนและตรงกับระดับภาษาทางการ (Gemini: "เผชิญกับภาษี 15%" Claude: "ต้องเสียภาษี 15 เปอร์เซ็นต์")
ปรับรูปแบบการเขียนประโยคใหม่ให้เป็นไปตามขนบการเขียนไทย อ่านตามง่ายขึ้น แต่ผลลัพธ์ยังแกว่งพอสมควร โดยเฉพาะช่วงท้ายๆ ของบทความ
❌ จุดอ่อน
เจอประโยคซับซ้อน ChatGPT กลับแปลอ่านไม่รู้เรื่อง
Revenue is lower on a dynamic basis, a reflection of the negative effect tariffs have on US economic output, ...
การลดลงของรายได้ภาษีในภาพรวมยังเป็นผลจากผลกระทบทางเศรษฐกิจในเชิงลบของภาษีเหล่านี้ต่อผลิตภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ
แปล "income" ผิด ว่า "รายได้ประชาชน" แต่จริงๆ แล้วหมายถึงรายได้จากการเรียกเก็บภาษีของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (major error)
...,which reduces incomes and resulting tax revenues.
...ซึ่งจะส่งผลต่อระดับรายได้ของประชาชน และในที่สุดจะทำให้รายได้ภาษีลดลงตามไปด้วย
🥉อันดับ 3: Claude 4.0 "พึ่งพาได้ แต่ไม่ชัดเจน"
✅ จุดแข็ง
แปลได้ใจความทั้งหมดประมาณ 75% ที่เหลือเติมค่อนข้างเยอะ (Addition) และปรับโครงสร้างบทความใหม่ทั้งหมด
รูปแบบภาษาไม่ทางการจนเกินไป เป็นแนวกึ่งทางการ โทนภาษาเป็นวิชาการ
❌ จุดอ่อน
Unclear Reference หลายครั้งอ่านแล้วตามประเด็นไม่ชัด เช่น ประโยคด้านล่าง อ่านแล้วไม่แน่ใจว่าเศรษฐกิจใครหดตัว และใครเรียกเก็บภาษีใครกันแน่
...the tariffs on the European Union would reduce US economic output by 0.2 percent
...การเก็บภาษีจากสหภาพยุโรปจะส่งผลให้ผลผลิตเศรษฐกิจหดตัว 0.2 เปอร์เซ็นต์
ตีความ/ขยายความมากเกินไป เมื่อเทียบกับอีก 2 โมเดล โดนตัดคะแนนเยอะที่สุดเพราะประเด็น Addition
❗Common Errors/Patterns ที่พบทั้ง 3 โมเดล
ทั้ง 3 โมเดลรักษาระดับภาษากึ่งทางการได้ดี แต่ยังลักลั่นอยู่ทั้ง 3 โมเดล เช่น ใช้คำว่า "ไปอีก" ต่อท้าย (Gemini) หรือ "อีกด้วย" (ChatGPT)
ตัวเลข คำว่า "billion" ทั้ง 3 โมเดลยังแปลเป็นภาษาไทยว่า "13.9 พันล้านดอลลาร์" เหมือนกัน
Unclear Reference: ทั้ง 3 โมเดลอ้างอิงถึงประเด็น "Trump Tariff" ไม่ค่อยชัดเจน ประเด็นนี้ Gemini 2.5 Flash ทำได้ดีที่สุด ขณะที่ Claude 3.7 Sonnet ทำออกมาได้แย่ที่สุด (ไม่ชัดเจน)
ประโยคตัดเชือกคือ "We estimate that before accounting for any foreign retaliation, the tariffs on Canada, Mexico, China, and motor vehicles would each reduce US economic output by 0.1 percent" ทั้ง 3 โมเดลแลยังออกมางงๆ
ทั้ง 3 โมเดลมีปัญหากับคำว่า "the expansion of the steel and aluminum tariffs" และแปลว่า "การขยาย" ทั้งหมด สร้างความสับสนว่าหมายถึง "ขยายความครอบคลุมพิกัดภาษี" หรือแค่หมายถึง "เพิ่มอัตราภาษี" เฉยๆ

ต้นฉบับ | ChatGPT 4o | Claude 3.7 Sonnet | Gemini 2.5 Flash |
Monster Calls by Patrick Ness | Monster Calls โดย Patrick Ness | เมื่อปีศาจมาเยือน โดย แพทริค เนส | ปีศาจเรียกหา โดย แพทริค เนสส์ |
The monster showed up just after midnight. As they do. | สัตว์ประหลาดปรากฏตัวหลังเที่ยงคืนไม่นาน — อย่างที่มันชอบทำแบบนั้นแหละ | ปีศาจปรากฏตัวขึ้นหลังเที่ยงคืนเพียงนิดเดียว เหมือนกับที่มันเคยทำเสมอ | ปีศาจปรากฏตัวขึ้นหลังเที่ยงคืนเล็กน้อย ก็เป็นซะอย่างนั้นแหละ |
Conor was awake when it came. | คอนเนอร์ตื่นอยู่ตอนมันมา | คอนเนอร์ตื่นอยู่เมื่อมันมา | คอเนอร์ตื่นอยู่แล้วตอนที่มันมา |
He’d had a nightmare. Well, not a nightmare. The nightmare. The one he’d been having a lot lately. The one with the darkness and the wind and the screaming. The one with the hands slipping from his grasp, no matter how hard he tried to hold on. The one that always ended with– | เขาฝันร้าย … เอาจริง ๆ ต้องเรียกว่า “ฝันร้ายนั่น” — ฝันร้ายที่เขาฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฝันที่มีแต่ความมืด มีลมแรง และเสียงกรีดร้อง ฝันที่มือใครบางคนค่อย ๆ หลุดจากมือเขาไป แม้เขาจะพยายามจับไว้แน่นแค่ไหนก็ตาม ฝันที่มักจะจบลงด้วย— | เขาเพิ่งฝันร้าย ไม่ใช่แค่ฝันร้ายธรรมดา แต่เป็นฝันร้าย ฝันที่เขาฝันบ่อยๆ ช่วงนี้ ฝันที่มีแต่ความมืดมิด ลมหวีด และเสียงร้องกรีดร้อง ฝันที่มีมือที่หลุดลื่นไปจากการยึดของเขา ไม่ว่าเขาจะพยายามกำแน่นแค่ไหนก็ตาม ฝันที่จบลงด้วย— | เขาฝันร้าย... ไม่สิ ไม่ใช่แค่ฝันร้ายทั่วๆ ไป... แต่เป็น ฝันร้ายนั้น ต่างหาก อันที่เขาฝันบ่อยๆ ช่วงหลังๆ มานี้ อันที่มีแต่ความมืด มีแต่ลม แล้วก็เสียงกรีดร้อง อันที่มีมือหลุดจากเงื้อมมือเขาไป... ไม่ว่าจะพยายามยึดไว้แน่นแค่ไหนก็ตาม อันที่มักจะจบลงด้วย-- |
“Go away,” Conor whispered into the darkness of his bedroom, trying to push the nightmare back, not let it follow him into the world of waking. “Go away now.” | “ไปให้พ้น” คอนเนอร์กระซิบใส่ความมืดในห้องนอนของตัวเอง พยายามผลักฝันร้ายให้กลับไป ไม่ให้มันตามหลุดเข้ามาในโลกของการตื่น “ไปให้พ้นตอนนี้เลย” | "ไปซะ" คอนเนอร์กระซิบเข้าใส่ความมืดในห้องนอนของตัวเอง พยายามผลักฝันร้ายนั้นให้หายไป ไม่ให้มันตามเขามาในโลกแห่งความตื่น "ไปซะเดี๋ยวนี้" | “ไปให้พ้น” คอเนอร์กระซิบเสียงแผ่วๆ ใส่ความมืดในห้องนอน เขากำลังพยายามผลักไสฝันร้ายนั้นออกไป ไม่ยอมให้มันตามเขาออกมาสู่โลกแห่งความจริงตอนตื่น... “ไปให้พ้นซะที” |
He glanced over at the clock his mum had put on his bedside table. 12.07. Seven minutes past midnight. Which was late for a school night, late for a Sunday, certainly. | เขาเหลือบตามองนาฬิกาที่แม่วางไว้ข้างเตียง — ตีสิบสองกับเจ็ดนาทีเลยเที่ยงคืนมาเจ็ดนาที — ดึกมากสำหรับคืนก่อนวันจันทร์ ดึกเกินไปสำหรับคืนก่อนวันเรียนแน่ ๆ | เขาเหลือบมองไปที่นาฬิกาที่แม่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียง 12.07 นาฬิกา เจ็ดนาทีหลังเที่ยงคืน ดึกสำหรับคืนวันจันทร์ที่ต้องไปโรงเรียน ดึกสำหรับวันอาทิตย์อย่างแน่นอน | เขากวาดตามองนาฬิกาที่คุณแม่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียง... 12.07 น. เลยเที่ยงคืนมาเจ็ดนาที... ซึ่งถือว่าดึกมากแล้วสำหรับคืนวันอาทิตย์ก่อนวันไปโรงเรียน ดึกมากจริงๆ |
He’d told no one about the nightmare. Not his mum, obviously, but no one else either, not his dad in their fortnightly (or so) phone call, definitely not his grandma, and no one at school. Absolutely not. | เขาไม่เคยบอกใครเรื่องฝันร้ายนั้น — ไม่ใช่แม่แน่นอน และไม่ใช่ใครอื่นด้วย ไม่แม้แต่พ่อที่เขาคุยโทรศัพท์ด้วยสองอาทิตย์ครั้ง (ถ้าโทรมาอะนะ) ยิ่งไม่ใช่คุณยาย และไม่มีทางบอกใครที่โรงเรียน เด็ดขาด | เขาไม่เคยเล่าเรื่องฝันร้ายนั้นให้ใครฟัง ไม่ใช่แม่ของเขา แน่นอน แต่ไม่ใช่ใครอื่นเหมือนกัน ไม่ใช่พ่อในสายโทรศัพท์สองอาทิตย์ครั้ง (หรือประมาณนั้น) ไม่ใช่ยายแน่นอน และไม่ใช่ใครในโรงเรียน แน่นอนที่สุด | เขาไม่เคยเล่าเรื่องฝันร้ายนี้ให้ใครฟังเลย... ไม่เล่าให้คุณแม่ฟัง แน่นอนอยู่แล้ว... แต่ก็ไม่เล่าให้คนอื่นๆ ฟังด้วยเหมือนกัน... ไม่เล่าให้คุณพ่อฟังตอนที่โทรศัพท์คุยกันทุกๆ สองอาทิตย์ (หรือราวๆ นั้น)... ยิ่งไม่เล่าให้คุณย่าฟังเลย... แล้วก็ไม่เล่าให้ใครที่โรงเรียนฟังเลยด้วย... ไม่มีทางเด็ดขาด |
What happened in the nightmare was something no one else ever needed to know. | สิ่งที่เกิดขึ้นในฝันนั่น มันไม่มีใครจำเป็นต้องรู้ทั้งนั้น | สิ่งที่เกิดขึ้นในฝันร้ายนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครจำเป็นต้องรู้เลย | สิ่งที่เกิดขึ้นในฝันร้ายนั้น เป็นเรื่องที่คนอื่นไม่จำเป็นต้องรู้เลย |
Conor blinked groggily at his room, then he frowned. There was something he was missing. He sat up in his bed, waking a bit more. The nightmare was slipping from him, but there was something he couldn’t put his finger on, something different, something- | คอนเนอร์กระพริบตาช้า ๆ มองไปรอบห้อง แล้วขมวดคิ้ว — มันมีอะไรบางอย่างแปลกไป เขาลุกขึ้นนั่งบนเตียง เริ่มรู้สึกตัวมากขึ้น ฝันร้ายกำลังเลือนหายไป แต่ยังมีบางอย่างที่เขานึกไม่ออก บางอย่างที่ต่างออกไป บางอย่าง... | คอนเนอร์กะพริบไปมาอย่างง่วงซึมมองดูห้องของตัวเอง แล้วเขาก็ขมวดคิ้ว มีอะไรบางอย่างที่เขาพลาดไป เขานั่งตัวขึ้นในเตียง ตื่นมากขึ้นหน่อย ฝันร้ายนั้นกำลังจางหายไปจากเขา แต่มีอะไรบางอย่างที่เขาจับต้นชนปลายไม่ได้ มีอะไรบางอย่างที่แตกต่าง มีบางอย่าง— | คอเนอร์กะพริบตาปริบๆ อย่างงัวเงียมองไปรอบๆ ห้อง แล้วก็ขมวดคิ้ว มีบางอย่างที่เขายังไม่ทันคิดถึง เขาลุกขึ้นนั่งบนเตียง ตัวตื่นมากขึ้นหน่อย... ฝันร้ายนั้นกำลังจางหายไปจากตัวเขา แต่มีบางอย่างที่เขายังนึกไม่ออกว่าคืออะไร... บางอย่างที่แตกต่างออกไป... บางอย่างที่-- |
He listened, straining against the silence, but all he could hear was the quiet house around him, the occasional tick from the empty downstairs or a rustle of bedding from his mum’s room next door. | เขาเงี่ยหูฟัง เพ่งเสียงท่ามกลางความเงียบ แต่ได้ยินแค่เสียงบ้านที่เงียบสงัดรอบตัว เสียงติ๊กของอะไรสักอย่างจากชั้นล่าง หรือเสียงผ้าห่มไหวเบา ๆ จากห้องแม่ข้าง ๆ | เขาฟัง หูตั้งกับความเงียบ แต่สิ่งที่เขาได้ยินก็เพียงความเงียบสงบของบ้านรอบตัว เสียงเตะเก๋ๆ เป็นครั้งคราวจากชั้นล่างที่ว่างเปล่า หรือเสียงผ้าปูเตียงกรอบแกรบจากห้องแม่ข้างๆ | เขาตั้งใจฟังท่ามกลางความเงียบงัน แต่ทั้งหมดที่ได้ยินก็มีแต่เสียงบ้านที่เงียบเชียบอยู่รอบตัวเขา... เสียงติ๊กเป็นครั้งคราวจากชั้นล่างที่ว่างเปล่า... หรือเสียงผ้าปูที่นอนเสียดสีกันจากห้องของคุณแม่ที่อยู่ข้างๆ |
Nothing. | ไม่มีอะไรเลย | ไม่มีอะไร | ไม่มีอะไรเลย |
And then something. Something he realized was the thing that had woken him. | …แล้วก็มี
บางอย่าง บางอย่างที่เขารู้ตัวขึ้นมาว่านั่นแหละ — มันคือสิ่งที่ปลุกเขาให้ตื่น | แล้วก็มีบางอย่าง บางอย่างที่เขารู้สึกได้ว่าเป็นสิ่งที่ปลุกให้เขาตื่น | และแล้วก็มีบางอย่าง บางอย่างที่เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเป็นสิ่งที่ปลุกให้เขาตื่นขึ้นมา |
ดู prompt + Reply | |||
จำนวนคำ | 339 | 344 | 417 |
เปรียบเทียบการแปลบทความสร้างสรรค์: Monster Calls

🥇อันดับ 1: Gemini ลื่นไหลเป็นธรรมชาติ แต่แลกกับความแม่นยำอันดับบ๊วย
✅ จุดแข็ง
ความลื่นไหลเป็นธรรมชาติ *Fluency" และการเลือกใช้คำ "Terminology" อ่านคร่าวๆ คล้ายนิยายแปลพร้อมตีพิมพ์เลย
ตีความและเลือกใช้คำได้ดี เช่น "The nightmare" แปลว่า "ฝันร้ายนั้น" "กวาดตา" "กระพริบตาปริบๆ"
❌ จุดอ่อน
ใช้ศัพท์บางจุดยังรู้สึก "เอ๊ะ" เช่น "ตัวตื่น" "เสียงติ๊กๆ" และ "ไม่มีอะไรเลย" อ่านแล้วยังไม่แน่ใจว่าต้องการสื่ออะไร
แปลจุดสำคัญของเรีื่องผิด (major error)
There was something he was missing.
มีบางอย่างที่เขายังไม่ทันคิดถึง (ความหมายจริงๆ คือ "มีบางอย่างต่างไปจากเดิม")
ติดคำว่า "อัน" (The one)
🥈อันดับ 2: ChatGPT สมดุล ลื่นไหล พึ่งพาได้
✅ จุดแข็ง
โดยรวมคุณภาพดีทุกด้าน แปลดี ลื่นไหล ซื่อตรงกับโครงสร้างต้นฉบับ ไม่แบ่งย่อหน้าใหม่แบบ Gemini
แปลคำว่า "Missing" ได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับอีก 3 โมเดล
There was something he was missing.
"มันมีอะไรบางอย่างแปลกไป"
❌ จุดอ่อน
ใช้คำแปลแปร่งๆ ไปบ้าง เช่น
12.07 > "ตีสิบสองกับเจ็ดนาที"
ติดคำว่า "มัน"
มันมีอะไรบางอย่างแปลกไป
มันไม่มีใครจำเป็นต้องรู้ทั้งนั้น
มันคือสิ่งที่ปลุกให้เขาตื่น "นั่นแหละ (อย่างกับเด็กแว๊น)
แปลผิด "or so"
not his dad in their fortnightly (or so) phone call
ไม่แม้แต่พ่อที่เขาคุยโทรศัพท์ด้วยสองอาทิตย์ครั้ง (ถ้าโทรมาอะนะ)
🥉อันดับ 3: Claude ซื่อตรง แต่ขาดอรรถรส ติดกลิ่นแปล
✅ จุดแข็ง
เป็นโมเดลเดียวทีี่แปลไม่ผิดเลย แต่แปลเป็นคำต่อคำ แข็งทื่อและแห้งแล้งมาก ไม่รู้ว่าคนพูดเป็นใคร
The monster showed up just after midnight. As they do.
ปีศาจปรากฏตัวขึ้นหลังเที่ยงคืนเพียงนิดเดียว เหมือนกับที่มันเคยทำเสมอ
❌ จุดอ่อน
ใช้ศัพท์ไม่ถูกต้อง เช่น ตอนบรรยายฉากมือในฝันที่ลื่นหลุดไป ใช้คำว่า "กำ" แทนคำว่า "ยึด" หรือ "เหนี่ยวรั้ง"
The one with the hands slipping from his grasp, no matter how hard he tried to hold on.
ฝันที่มีมือที่หลุดลื่นไปจากการยึดของเขา ไม่ว่าเขาจะพยายามกำแน่นแค่ไหนก็ตาม
ใช้ศัพท์แปลกหลายคำ เช่น
Conor blinked groggily at his room > "กะพริบไปมาอย่างง่วงซึม"
He sat up in his bed > "นั่งตัวขึ้นในเตียง"
straining against the silence > "หูตั้งกับความเงียบ"
the occasional tick > "เสียงเตะเก๋ๆ"
ระดับภาษาไม่ตรงกับต้นฉบับแนววรรณกรรม ดูกึ่งทางการ
❗Common Errors/Patterns ที่พบทั้ง 3 โมเดล
คำว่า "Nothing" เป็นคำสั้นๆ ที่พูดถึงตัวละครคอเนอร์ตอนเงี่ยหูฟังเสียงในห้องนอน แต่คอเนอร์ไม่ได้ยินอะไรเลย ความหมายจริงๆ คือ "ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย/ไม่เห็นมีอะไรเลย/ทุกอย่างเงียบกริบ" ทุกโมเดลยังถ่ายทอดคำนี้ออกมาไม่ชัด
ต้นฉบับ | ChatGPT 4o | Claude 3.7 Sonnet | Gemini 2.5 Flash |
Nothing. | ไม่มีอะไรเลย | ไม่มีอะไร | ไม่มีอะไรเลย |
เป็นต้นฉบับเดียวที่ไม่มีโมเดลไหน แต่ง เสริม ขยายข้อความเลย (Addition)
📚บทสรุป: โมเดลไหนเหมาะกับใคร

จากการประเมินทั้ง 3 รอบได้ข้อสรุปดังนี้
✅ ใช้ Gemini Flash 2.5 เป็นโมเดลหลักสำหรับงานแปลทั่วไปที่ต้องการคุณภาพดีสม่ำเสมอ เน้นความเป็นธรรมชาติ ระวังเรื่อง Accuracy เป็นหลัก เพราะมีโอกาสขยายความเยอะกว่าต้นฉบับ
⚠️ ใช้ ChatGPT ในงานที่ เน้นคำศัพท์เฉพาะ เพราะทำคะแนนได้ดีที่สุดจากการทดสอบทั้ง 3 รอบ ส่วนเรื่องความเป็นธรรมชาติของภาษาและความถูกต้องอยู่ในระดับกลางๆ Accuracy (72.36), Fluency (62.00) โมเดลพร้อมปรับตัวได้ดี
❌ หลีกเลี่ยง Claude 4.0 Sonnet เว้นแต่เน้น accuracy เป็นหลักและมี human post-edit ตรวจแก้ภาษาเพิ่ม
